งานไม้
วิธีการใช้เลื่อยกับงานไม้
- 1. การตัดไม้ (Crossing wood) ทำ เครื่องหมายที่ต้องการจะตัดบนไม้ นำไม้ยึดติดกับแคลมป์เพื่อให้ปลอดภัย ไม้ที่ยาวหรือกว้างจนยึดไม่ได้ ให้นำไปเลื่อยบนโต๊ะม้านั่ง การเลื่อยให้วางฟันเลื่อยใกล้กับเส้นที่ลากไว้ (อยู่ริมนอกของเส้น) ใช้ หัวแม่มือซ้ายกันใบเลื่อยให้อยู่ตรงแนวลากใบเลื่อย เข้าหาตัวช้า ๆสั้น ๆ หลายครั้ง จนใบเลื่อยเกิดเป็นร่อง ใช้ฉากเหล็กมาวัดฉาก ดังรูปที่ 6.16 หลังจากเริ่มตัดแล้วให้ดึงใบเลื่อยยาว ๆ โดยเอียงเลื่อยทำมุม 45 องศา กับไม้ ดังรูปที่ 6.17 ก่อนไม้จะขาดควรใช้มือข้างซ้ายประคองไม้ไว้ เพื่อป้องกันไม้ฉีกขาด
2. การโกรกไม้ (Ripping wood) หรือเรียกอีกอย่างว่า “การซอยไม้” ปฏิบัติได้ดังนี้ หลังจากทำเส้นกำหนดบนไม้แล้ว ยึดไม้ให้แน่นกับแคลมป์หรือวางบนโต๊ะม้านั่ง ดังรูปที่ 6.18 ควรอยู่ในลักษณะที่ชักใบเลื่อยได้สะดวกจนสุดใบ เมื่อเริ่มโกรกไม้ให้ทำเช่นเดียวกับการตัดไม้ แต่ให้ใบเลื่อยเอียงทำมุม 60 องศากับไม้ ถ้าใบเลื่อยตัดขณะที่ซอยไม้ยาว ให้เสียบลิ่มในร่องที่ตัด เพื่อจะทำให้ตัดไม้ได้ง่ายขึ้น3. การใช้เลื่อยรอเลื่อยไม้ มีลักษณะการปฏิบัติงานคล้ายกับการตัดไม้ เพียงแต่งานที่ใช้กับเลื่อยรอเป็นงานประณีต และมีความถูกต้อง
หมายเหตุ เมื่อปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่าวางเลื่อยบนพื้น ควรนำเลื่อยไปแขวนไว้ ไม่ควรตัดไม้หรือโกรกไม้โดยไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่ามีตะปูติดค้างอยู่ ที่ไม้ เพราะจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใบเลื่อยเสียหาย
เครื่องมือที่ใช้ตอก (Briving tools) จะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะดังนี้
1. ค้อนหงอน (Claw hammer) ค้อน ชนิดนี้เหมาะกับช่างไม้โดยเฉพาะ เป็นค้อนเหล็กหน้าค้อนที่ใช้ตอกตะปูจะโค้งนูนออกมาเล็กน้อย เวลาตอกตะปูหน้าค้อนจะไม่ฝังเข้าเนื้อไม้เป็นรอยบุบมีหงอนอยู่ที่หัวมีร่อง เพื่อถอนตะปูได้สะดวก ที่ด้ามจะเป็นไม้และกลึงเป็นส่วนเว้าเพื่อสะดวกในการจับหรือปฏิบัติงาน ขนาด ของค้อนจะบอกเป็นปอนด์หรือออนซ์ ค้อนที่ดีควรให้หน้าค้อนสะอาดปราศจากไขมัน ยาง หรือกาว ไม่เช่นนั้นการตอกตะปูจะทำให้ตะปูงอได้ง่าย
2. ค้อนไม้ (Mallet) เป็นค้อนที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นดีกว่าเหล็ก ใช้กับงานสิ่วเจาะไม้ (ไม่ควรใช้ค้อนเหล็กตอกเพราะด้ามสิ่วจะแตก) ลักษณะของค้อนไม้ที่ส่วนหัวและด้ามจับจะเป็นไม้ที่กลึงกลมเป็นสี่เหลี่ยม ขนาดโดยทั่วไปที่เหมาะสมจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของหัวค้อน 3 นิ้ว และยาว 5 นิ้ว
3. ไขควง (Screw drivers) ไขควงมีใบยาวขนาดตั้งแต่ 2 นิ้วถึง 18 นิ้ว ไขควรที่ดีใบเชื่อมจะติดไปถึงด้ามจับตอนใน เพื่อป้องกันไม่ให้ด้ามหมุนตามในขณะที่ขันแรง ๆ ไขควงแบบใบยาวจะมีกำลังดีกว่าใบสั้น ตอนปลายของใบควรจะแบนและได้ฉาก และหนาไม่เกินร่องตะปูควงที่จะไข มิฉะนั้นจะทำให้ร่องตะปูเสีย นอกจากนั้นยังมีไขควงที่ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้นอีก เรียกว่า ไขควงอัตโนมัติ (Automatic screw driver) การทำงานเพียงกดด้ามลง ใบไขควงจะทำงานเอง จึงไม่ต้องออกแรงมาก
เครื่องมือไสไม้ (Planer tool) ในงานช่างไม้ได้แก่ กบ (Planers) กบ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญและขาดไม่ได้สำหรับช่างไม้ เนื่องจากกบเป็นเครื่องมือที่ใช้แต่งผิวไม้ให้เรียบได้ขนาดตามความต้องการ ตัวกบอาจทำด้วยไม้หรือด้วยเหล็ก ดังนั้นกบที่ใช้กันแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
เครื่องมือสำหรับเจาะไม้
- กบไม้
- กบเหล็ก
1. กบไม้ มีส่วนประกอบดังนี้
- ตัวกบ ทำจากไม้เนื้อแข็งที่ไม่ยืดหรือหดตัวเร็ว ไม้ที่นิยมใช้กันคือ ไม้ชิงชัน หรือไม้ประดู่ ไม้แดง หรือไม้พยุง ขนาดความยาว 16” หนาประมาณ 2 ½” มีร่องเจาะด้านหลังเอียง 45 องศาเหลือเนื้อไม้ตอนริม ¼” ความกว้างของร่องจากริมหลังถึงริมหน้า 1 ¾” –2” และที่ด้านหลังเจาะรูเป็นวงกลมหรือวงรี ขนาดประมาณ ¾” ไว้ใส่ด้ามจับ
- ใบกบ ทำจากเหล็กกว้าง 1 ¾” หนาประมาณ 3/16” ยาวประมาณ 6 ½” มีคมที่ส่วนล่างเพื่อใช้ขูดไม่ให้เรียบ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของกล
- เหล็กประกับใบ หรือเหล็กประกับกบ อยู่ระหว่างใบกบและลิ้นติดกับใบกบ โดยมีน็อตสกรูยึดติดเหล็กประกันใบนี้ ขนาด 1/8” x 1 ¾” x 4” มีหน้าที่เสริมกำลังตอนปลายของใบกบไม่ให้อ่อนหรือบิดในเวลาที่ทำการไส และควบคุมการกินของไม้ เพื่อไม่ให้ไม้ย้อน
- ลิ่ม เป็นแผ่นไม้ชนิดเดียวกับไม้ที่ทำตัวกบคล้ายหัวขวานแต่บางกว่า ใช้ตอกอัดเข้าร่องเวลาใส่ในกบ เพื่อให้ใบกบแน่น
- ก้านหรือมือจับยาวประมาณ 9”-10” รูปวงกลมหรือวงรีช่วยให้จับกบได้เหมาะมือ
2. กบเหล็ก ลักษณะ โดยทั่วไปแตกต่างกับกบไม้ การใช้งานง่ายกว่ากบไม้ ผลงานที่ออกจากการใช้กบ พบว่ากบเหล็กมีประสิทธิภาพดีกว่า ให้ผลที่แน่นอน และเรียบร้อยกว่ากบไม้ การประกอบและการปรับก็ง่ายกว่า แต่ในเมืองไทยไม่ค่อยนิยมใช้ จึงทำให้ไม่คุ้นกับการใช้กบเหล็ก ซึ่งดูจะซับซ้อน ยุ่งยาก
ชนิดของกบ
1. กบล้างยาว ขนาดโดยทั่วไป 2” x 2 ½” x18” มุมเอียงของใบกบประมาณ 45”-50” ใช้สำหรับไสไม้ให้เรียบและตรงระยะยาว ๆ หรือใช้ล้างแนวไสให้เรียบขึ้น
2. กบล้างกลางและสั้น มีขนาดสั้นกว่ากบล้างยาว คือมีขนาด 12” (สำหรับกบล้างกลาง) และมีขนาด 6” (สำหรับกบล้างสั้น) ส่วนประกอบอื่น ๆ คล้ายกับกบล้างยาวทุกอย่าง ใช้ไสไม้ที่มีความยาวไม่มากนักให้เป็นเส้นตรง
3. กบผิว ลักษณะจะคล้ายกับกบล้าง คือ มีความยาวใกล้เคียงกัน แต่ที่แตกต่างกันคือมุมของใบกบจะเอียงประมาณ 50 – 60 องศา และกบผิวจะไม่มีฝาประกับกบ มีแต่ลิ่มไม้เท่านั้น กบผิวใช้ต่อจากการใช้กบล้าง เพื่อไสไม่ให้เรียบมากยิ่งขึ้น
นอก จากชนิดของกลที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีชนิดของกบอื่นๆ อีกที่ใช้ในงานไม้ แต่จะใช้เฉพาะงานที่ต้องการ เช่น การบังใบวงกบประตู หน้าต่าง จะเลือกใช้กบบังใบ เป็นต้น นอกจากกบบังใบแล้วยังมีกบกระดี่ กบราง กบขูด และกบบัว ที่ใช้ในงานไม้ด้วย
การไสกบไม้ สามารถปฏิบัติได้ดังนี้
1. เมื่อตั้งใบกบและปรับใบให้เรียบร้อยแล้ว เตรียมชิ้นงานที่จะไสวางบนโต๊ะทำงานให้พร้อม
2. ใช้มือ 2 ข้างจับที่ด้ามจับ โดยใช้หัวแม่มือทั้งสองกดที่หลังตัวกบ นิ้วชี้เหยียดแนบข้างตัวกบ แล้วออกแรงกดด้วยฝ่ามือที่จับ เสือกกบตรงออกไปข้างหน้า และต้องคอยควบคุมตัวกบให้เลื่อนตรงตามทิศทางที่ต้องการ
3. การ ยืนไสจะให้แรงดีที่สุด ขาทั้งสองต้องเหยียดตรง เวลาพุ่งกบออกไปก็โน้มตัวและย่อขาตาม ขณะที่ไสออกไป แขนทั้งสองต้องเหยียดตรงเสมอกัน จะทำให้กบไสผิวไม้ได้คงที่ การไสไม้ให้ไสตามแนวเสี้ยนไม้
4. เมื่อ ไสกบเกือบได้ขนาดตามที่ต้องการแล้ว จะต้องใช้กบผิวไสเก็บความเรียบร้อยอีกครั้งหนึ่ง การไสล้างควรให้กบกินไม้มากกว่าการไสแต่งผิว และการไสกบผิวต้องระวังการตั้งใบกบเพราะอาจจะกินเนื้อไม้ได้ ซึ่งการไสกบผิวที่ดี ขี้กลควรจะบาง ๆจนได้ขนาดตามต้องการ ให้ตรวจสอบความเรียบที่ได้จากการใช้ฉากเช็ค ดังรูปที่ 6.27
หมาย เหตุ การไสกบควรจะได้ฝึกฝนให้มากเพื่อความชำนาญและประสบการณ์ ซึ่งจะต้องอาศัยไหวพริบเพื่อสังเกตข้อผิดพลาดต่าง ๆ แล้วนำไปแก้ไขปรับปรุง
เครื่องมือสำหรับเจาะไม้
เครื่องมือเจาะไม้ (Boring tools) เป็น เครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่งในงานช่างไม้ ซึ่งจะขาดไม่ได้เช่นกันในการปฏิบัติงานไม้ การประกอบไม้เข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดเป็นรูปร่าง จะต้องมีการเจาะไม้ ดังนั้นนักศึกษาจึงควรได้ศึกษาถึงเครื่องมือที่ใช้เจาะไม้ ดังนี้คือ
- สิ่ว (Chisels)
- สว่าน (Drills)
- ดอกสว่าน (Bits)
1. สิ่ว (Chisels) คือ เครื่องมือในงานไม้ที่เป็นเหล็ก มีความคม จึงต้องระวังเป็นพิเศษ เมื่อไสไม้ได้ขนาดแล้ว งานที่จะทำต่อไปคือการประกอบไม้เข้าด้วยกันโดยการเจาะ สิ่วจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานเจาะมากที่สุด การแบ่งสิ่วตามลักษณะที่สร้างมาในท้องตลาด แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
- สิ่วที่โคนเรียวแหลมฝังเข้าไปในด้าม เรียกว่า Tang
- สิ่วที่ด้ามฝังเข้าในโคนสิ่ว เป็นท่อเรียวกลวงข้างใน เรียกว่า Socket
แต่ถ้าแบ่งสิ่วตามชนิดและลักษณะของการใช้งาน ดังรูปที่ 6.29 สามารถแบ่งได้ดังนี้
ก. สิ่วใบหนา (Firner chisel) สิ่วชนิดนี้จะมีใบที่หนาแข็งแรง ใช้งานได้ทั้งหนักและเบาขนาดความกว้างมีตั้งแต่ 1/8” –1” (ขนาดสิ่วเรียกตามความกว้าง)
ข. สิ่วปากบาง (Paring chisel) สิ่ว ชนิดนี้ใบจะบางกว่าชนิดแรก โดยทั่วไปจะใช้สิ่วนี้เซาะไม้ด้วยมือ ไม่นิยมใช้ตอก ตอนริมของใบสิ่วจะเอียงลาดลงไปหาอีกด้านหนึ่ง เพื่อทำงานละเอียด มีขนาดตั้งแต่ 1/8” –2”
ค. สิ่วเข้าโครง (Framing chisel) ตัวสิ่วจะหนักและแข็งแรงมาก ใช้ในงานหนัก ๆ เช่น การประกอบโครงเรือ สิ่วชนิดนี้จะมีวงแหวนเหล็กที่ด้ามเพื่อกันด้ามแตก
ง. สิ่วเดือย (Mortisel chisel) ใช้ สำหรับเจาะร่องรับเดือย ลักษณะพิเศษคือ ตัวสิ่วตั้งแต่ด้ามลงมาที่ตัวสิ่วจะหนา เพราะเวลาเจาะต้องใช้สิ่วงัดเพื่อให้ไม้หลุด ซึ่งใช้กำลังมากกว่าสิ่วธรรมดาที่กล่าวมาแล้ว
จ. สิ่วทำบัวหรือสิ่วเซาะร่อง เป็นสิ่วที่ใช้ทำบัว เซาะร่อง เจาะรูกลม หรือแต่งไม้ส่วนที่เป็นโค้ง ใบสิ่วมีลักษณะรูปโค้งเว้า ขนาดใบกว้าง ¼” –2” มักเรียกสิ่วชนิดนี้ว่า สิ่วเล็บมือ
2. สว่าน (Drills)
การเจาะรูเล็ก ๆ เพื่อนำน็อต สกรู หรือตะปูยึดติด อาจจะต้องใช้เครื่องมือเจาะรูที่เรียกว่า “สว่าน” สว่านที่ใช้เจาะมีรูปร่างต่าง ๆ กัน แล้วแต่ชนิดของงานที่ใช้ ดังนี้
- สว่านข้อเสือ
- สว่านมือ
- เหล็กหมาดและบิดหล่า
- สว่านข้อเสือ (Brace drills) ช่างไม้นิยมใช้สว่านเจาะรูปช่วยในการทำรูเดือย ส่วนประกอบของสว่านชนิดนี้มี 3 ส่วนคือ ส่วนหัว (Head) ส่วนมือจับ (Handle) และที่ปรับดอกสว่าน (Chuck) ดังรูปที่ 6.30 การใช้งานจะหมุนตามเข็มนาฬิกา เพื่อยึดให้แน่น แต่ถ้าจะคลายต้องหมุนไปทางซ้าย สามารถใช้งานได้ทั้งแนวราบและแนวตั้ง
- สว่านมือ (Hand drill) หรือสว่านเจาะนำ การเจาะรูชิ้นงานจะเจาะให้เล็กกว่า ¼” สามารถเจาะได้ทั้งงานเหล็กและงานไม้ ลักษณะแตกต่างกับสว่านข้อเสือ ส่วนที่ใช้หมุนดอกสว่านเพื่อยึดชิ้นงานจะใช้ส่วนที่เรียกว่า Crank ดังรูปที่ 6.31 ถ้าใส่ดอกสว่านไม่ดี ดอกสว่านจะหักง่าย สว่านเมื่อสามารถเจาะได้ทั้งแนวราบและแนวตั้ง
ก. เหล็กหมาด (Brad awl) รูป ร่างคล้ายไขควงเล็ก ๆ ใช้สำหรับเจาะในเวลาที่จะตอกตะปูหรือตะปูเกลียว วิธีใช้จะกดลงในเนื้อไม้แล้วบิดซ้ายขวา ไม่ควรใช้กับไม้บาง
ข. บิดหล่า (Gimlet bit) ใช้เจาะรูขนาดเล็ก ๆ ที่ต้องการฝังตะปูควงเข้าไปในเนื้อไม้แข็งมีขนาดตั้งแต่ 1/16” – 3/8”
อุปกรณ์ที่ใช้ควบคู่กับกับเครื่องมือที่เจาะรูที่กล่าวมาแล้ว ถือว่ามีความสำคัญในการเจาะรูที่จะขาดเสียไม่ได้ นั่นก็คือ “ดอกสว่าน” เพื่อความเข้าใจในเรื่องการเจาะให้มากขึ้นจะขออธิบายถึงดอกสว่านดังนี้
1. ดอกสว่านเจาะ (Drill bit) ใช้กับงานที่ต้องการคว้านเนื้อไม้ภายในวงกลมออก มี 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นลำตัว และส่วนปลายที่เป็นเกลียว ส่วนที่เป็นเกลียวที่ปลายจะแหลมคม เกลียวเล็ก ๆ ที่ตอนปลายจะฝังและดูดส่วนอื่นให้เข้าในเนื้อไม้ เกลียวจะมีทั้งชนิดหยาบและละเอียด ขนาดของดอกสว่านเรียกเป็นเศษส่วน 16 ของนิ้วเสมอ เช่น ขนาด 3/16” (ขนาดที่กล่าวมานี้หมายถึงขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางรูที่จะเจาะ) ที่ตอนโคนเป็นรูปเรียวเหลี่ยม สำหรับจำปายึดแน่น ดังรูปที่ 6.33
2. ดอกสว่านขยายหัว (Expansive bit) ลักษณะหัวสามารถขยายหรือลดลงได้โดยเลื่อนตอนปลายของดอกสว่าน ใช้เจาะรูได้ตั้งแต่ 1” ขึ้นไป สามารถเจาะได้ถึง 4” เหมาะกับงานเจาะรูกุญแจ และงานท่อน้ำผ่าน (บ้านที่มีฝาเป็นไม้) ดังรูปบทที่ 6.34
3. ดอกสว่านรูลึก (Foerstner bit) ลักษณะ ที่หัวดอกสว่านเป็นสัน มีทั้งที่เป็นเกลียวและไม่เป็นเกลียว ซึ่งจะเจาะได้ลึกเป็นพิเศษจนถึงเจาะไม่ได้ ใช้เจาะในงานต่าง ๆ ได้ดี เช่น รูกุญแจ หรือเจาะรูช่องลำโพงวิทยุ เป็นต้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ¼” –2” ดังรูปที่ 6.35
4. ดอกสว่านเฉพาะงาน (Straight-shank drillป ใช้เจาะรูกลมเล็ก ๆ ลักษณะของดอกสว่านมีปีก 2 ข้าง เกสรเป็นเกลียว ในแต่ละเกลียวมีร่องสำหรับเก็บเศษไม้ ขนาดที่มีในท้องตลาดตั้งแต่ 1/16” – ½” (ขนาดจะแบ่งย่อยละเอียดกว่าชนิดอื่น ๆ เพื่อการใช้งานเฉพาะ) ใช้สำหรับเจาะรูเพื่ออุดหัวตะปูในงานเข้ามุมของโต๊ะ เก้าอี้ วงกบ เป็นต้น รูปดอกสว่านแสดงไว้ในรูปที่ 6.36
5. ดอกสว่านอัตโนมัติ (Automatic drill bit) ดังรูปที่ 6.37 ใช้สำหรับงานเจาะรูเล็ก ๆ เช่นเดียวกับข้อ 4 แต่การทำงานจะสะดวกกว่า เมื่อใช้ควบคู่กับไขควงอัตโนมัติ คือสามารถใช้มือเพียงข้างเดียวทำงานได้
เครื่องมือประกอบในงานช่างไม้
เครื่อง มือที่ใช้ประกอบในงานต่าง ๆ ของช่างไม้จะทำให้ประสิทธิภาพของงานสูงขึ้น และเกิดความถูกต้อง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมือชนิดต่าง ๆ ดังนี้
1. ระดับน้ำ (Levels) ทำจากไม้หรือโลหะ รูปร่างยาวประมาณ 1 ¾” x 3” x26” เป็นต้น ตรงกลางจะฝังหลอดแก้วซึ่งบรรจุน้ำไว้ภายใน (บางชนิดเป็นแอลกฮอล์) น้ำ ที่ใส่ในหลอดจะไม่เต็มและเหลือเป็นฟองอากาศ เพื่อตรวจสอบระดับ วิธีการตรวจสอบระดับคือ วางระดับน้ำบนชิ้นงาน ถ้าฟองอากาศในหลอดแก้วนี้อยู่ตรงกลาง แสดงว่าได้ระดับที่แท้จริง (บางชนิดจะมีทั้งหลอดแก้วในแนวตั้งและแนวนอน) ดังแสดงในรูปที่ 6.42
2. ลูกดิ่ง (Plumb bob) ทำจากเหล็กหรือทองเหลือง รูปร่างคล้ายลูกข่าง ตอนปลายเรียวแหลม ตอนล่างมีที่ร้อยด้ายหลอด ดังรูปที่ 6.43 ลูกดิ่งใช้สำหรับทดสอบแนวดิ่งของอาคารกับส่วนอื่น
3. ขอขีดไม้ (Maring gauge) ได้อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ข้างต้นแล้ว
4. เหล็กส่งหัวตะปู (Nail set) เป็นแท่งเหล็กตันยาวประมาณ 4-5 นิ้ว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ¼ นิ้ว ปลายเรียว ขนาดของปลายไม่แน่นอน แล้วแต่ขนาดตะปูที่ใช้ส่งหัวลงในเนื้อไม้ดังรูปที่ 6.44 เพื่อประโยชน์ในการเก็บรอยตะปูที่เป็นงานเคลือบเงาต่าง ๆ
5. ตะไบและบุ้ง (Files and rasp) ตะไบ และบุ้งใช้แทนเครื่องมืออื่นที่ตัดแต่งไม่สะดวก ตะไบที่ใช้แต่งคมเครื่องมือช่างไม้มีหลายชนิดแตกต่างกัน เช่น ตะไบแบน ตะไบครึ่งวงกลม ตะไบกลม และตะไบสามเหลี่ยม ขนาดของตะไบจะยาวตั้งแต่ 4-14 นิ้ว ฟันของตะไบแบ่งเป็น 2 ชนิด คือฟันคู่ (Double cut) และฟันเดี่ยว (Single cut) ส่วน ลักษณะของบุ้งจะหยาบกว่าตะไบ โดยจะมีส่วนที่ยื่นแหลมออกมาเป็นปุ่มๆ เรียกว่าฟัน สามารถจะทำงานได้เร็วกว่าตะไบ แต่งานจะหยาบกว่า ดังนั้นการใช้งานควรใช้ควบคู่กันโดยใช้บุ้งก่อนแล้วจึงเก็บงานด้วยตะไบ
การทำงานไม้ต่าง ๆ
การทำงานไม้
งานก่อสร้างในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งประมาณ 30% เกิดขึ้นจากงานไม้หรือต้องอาศัยไม้เป็นแกนนำ ทำให้งานไม้เป็นงานที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับงานคอนกรีตหรืองานเหล็ก นอกจากนี้ถ้าปฏิบัติงานไม้อย่างมีทักษะก็จะก่อให้เกิดคุณประโยชน์มากมาย จึงควรค่าที่จะต้องเรียนเป็นอย่างยิ่ง การที่จะให้งานบรรลุถึงจุดประสงค์ตามที่มุ่งหมายไว้ จะต้องมีการจัดลำดับการทำงานที่แน่นอนในการทำงานไม้ก็เช่นกัน ถ้าได้จัดลำดับขั้นตอนไว้อย่างดี งานที่ออกมาย่อมจะถูกต้อง สวยงาม และเกิดความภาคภูมิใจ อันจะเป็นเครื่องช่วยสร้างความเชื่อมั่นในงานชิ้นต่อ ๆ ไป ในบทนี้จะขออธิบายถึงสิ่งที่จะต้องทำงานกับไม่ให้เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จนถึงขั้นเป็นชิ้นงานหรือโครงงานขึ้น ดังต่อไปนี้
การตัดไม้ให้ได้ขนาด
ควร พยายามหาท่อนไม้สั้น ๆ ที่สามารถทำส่วนต่าง ๆ ของงานได้ก่อนจะตัดไม้ จากนั้นจึงเริ่มตัดไม้ชิ้นใหญ่ก่อน เพื่อจะได้ไม่เหลือเศษมาก เมื่อได้ไม้ที่ต้องการทั้งความยาว ความหนา และความกว้างแล้ว ให้นำมาวัดขนาดตามที่กำหนดไว้ โดยให้เผื่อไม่ให้ยาวกว่างาน ½” ถึง ¾” (ส่วนที่เผื่อไม้ไว้คือการกำหนดตัวไม้แบบหยาบ ๆ )
ในการัดความยาวของไม้ให้วัดตรงกึ่งกลางแผ่นไม้แล้วบวกอีก ¾” (เผื่อไว้ทำไม้ให้ได้ฉาก) แล้วขีดเส้นสั้น ๆ เพื่อกำหนดความยาวเพียงเส้นเดียว ดังรูปที่ 7.1 ใช้ฉากจากเส้นและพยายามให้ได้ฉากกับความยาวของไม้ (การจับฉากด้ามฉากต้องแนบชิดกับริมไม้) ต่อ จากนั้นจึงนำไม้ที่วัดขนาดแล้วไปตัดที่โต๊ะฝึกงาน โดยนำไม้วางบนโต๊ะแล้วยื่นส่วนที่จะตัดออกมาให้พ้นขอบโต๊ะที่รองรับและเริ่ม ดำเนินการตัดไม้ตามขั้นตอนที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ 5
การทำไม้ให้ได้ฉาก
วิธี การนี้ถือว่าเป็นพื้นฐานของช่างไม้ที่ควรจะต้องฝึกให้เกิดความชำนาญมากที่ สุด งานในขั้นนี้ช่างไม้ทุกคนจะต้องฝึกให้ผ่านก่อน จึงจะสามารถทำงานอื่นต่อไปได้ การทำไม่ให้ได้ฉากมีวิธีการ ดังนี้
1. ไสหน้ากว้างของไม้ให้ได้ขนาดและความหนา
1.1 นำไม้ที่ตัดแล้วไปวางบนโต๊ะฝึกงานยึดให้แน่น ใช้กบล้างไสผิวด้านหน้ากว้างตามทิศทางของเสี้ยนไม้
1.2 ไสจนผิวไม้เรียบเสมอกันโดยตลอด แล้วทดสอบหน้าไม้ด้วยฉากตามรูปที่ 7.2 และไม่ควรให้แสงส่องผ่านได้ แล้วทำเครื่องหมายไว้
2. ไสไม้ด้นข้างเพื่อทำฉาก
2.1 เลือกข้างไม้ที่ดีที่สุดไว้ แล้วนำไปยึดกับแม่แรงให้แน่น
2.2 ไสไม้ตามเสี้ยน ตามหลักการปฏิบัติการไสไม้ โดยพยายามไสครั้งเดียวให้ยาวตลอด
2.3 ทดสอบฉากข้างไม้ ด้วยการทดสอบกับหน้าไม้ด้านที่ทำฉากไว้ในข้อ 1 เพื่อทำเครื่องหมาย
3. ไสหัวไม้เพื่อทำฉาก
3.1 เลือกเอาด้านใดด้านหนึ่งมาทำเป็นหัวไม้ แล้วนำไปยึดติดกับแม่แรง
3.2 ไส ไม้กลับไปกลับมาโดยเริ่มจากมุมหนึ่ง แล้วไสอย่าให้ถึงอีกมุมหนึ่ง เพื่อกันไม้ฉีกแตก แล้วจึงกลับมาไสอีกมุมหนึ่งที่เหลือจนเรียบได้ฉาก
3.3 ทดสอบฉากกับหน้าไม้ หรือข้างไม้ด้านที่ทำฉากไว้แล้ว
4. ทำฉากด้านที่เหลือ
4.1 วัดไม้ตามขนาดยาวที่ต้องการ ขีดเส้นไว้ (เผื่อ 1/16) แล้วขีดเส้นตามขวางโดยใช้ฉากจับกับด้านที่ทำฉากแล้ว ดังรูปที่ 7.3
4.2 ตัดไม้ให้เหลือเส้นไว้ด้วยเลื่อย
4.3 ไสแต่งหัวไม้ให้เรียบได้ขนาดความยาวที่ต้องการ
5. ทำฉากด้านข้างอีกข้างหนึ่ง
5.1 วัดความกว้างของไม้ตามขนาดด้วยขอขีดไม้ ดังรูปที่ 7.4
5.2 ไสไม้ให้ถึงเส้นที่ทำเครื่องหมายไว้จากขอขีดไม้ แล้วทำการทดสอบฉาก
6. ทำฉากด้านหน้ากว้างอีกด้านหนึ่ง
6.1 ทำการปฏิบัติแบบเดียวกับข้อ 5
การประกอบไม้วิธีต่างๆ
1. การเข้าไม้ให้แข็งแรง (Making joints stronger) เป็น การนำไม้มาชนกันทำให้เกิดเป็นมุมขึ้น เช่น มุมฉาก หรือมุมอื่นๆ การเข้าไม้มีวิธีการทำได้หลายวิธีแล้วแต่ความเหมาะสมของงานเพื่อให้เกิดความ แข็งแรงมากที่สุด อาจพิจารณาจากความหนาของไม้ คุณภาพไม้ และทิศทางของแรงที่จะกระทำกับรอยต่อ การเข้าไม้เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นพื้นฐานของงานโครงสร้างต่างๆ ในงานทำเฟอร์นิเจอร์ วิธีการเข้าไม้มีหลายแบบที่ใช้กันดังนี้
1.1 การเข้าชน (Butt Joint) เป็น วิธีที่ง่าย โดยนำด้านหนึ่งของไม้นาชนิดติดกับผิวหน้าของไม้อีกท่อนหนึ่ง ดังนั้นการเข้าชนไม้วิธีนี้จะไม่แข็งแรงเท่าไรนัก และจะเห็นรอยต่อชัดเจน การเข้าเดือยหรือยึดมุมจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงตรงรอยต่อได้มาขึ้น เช่น ตะปู ตะปูเกลียว หรือไม้สามเหลี่ยมยึดมุม ดังรูปที่ 7.5
วิธีการเข้าชนไม้ ปฏิบัติได้ดังนี้คือ จับฉากที่หัวไม้พร้อมขีดเส้นบนไม้อีกท่อนหนึ่ง โดยจับมาชนกันแล้วตอกตะปูที่หัวไม้ จะได้ไม้ 2 ท่อนชนกัน ดังรูปที่ 7.6 แล้วใช้ฉากเหล็กมาวัดฉาก เพื่อทดสอบความถูกต้อง
1.2 การเข้าขอบไม้แบบมีเดือย (Edge by dowel joint) หรือ เรียกอีกอย่างว่า การต่อทาบหรือเพลาะไม้ เป็นการเข้าไม้ด้วยการต่อขอบไม้เข้าด้วยกัน และยึดด้วยการ โดยใช้เดือยหรือสลักเพื่อเพิ่มความแข็งแรง เดือยหรือสลักอาจทำจากไม้เนื้อแข็งก็ได้ เช่น การทำพื้นกระดานบ้านหรือพื้นโต๊ะอาหาร ดังรูปที่ 7.7
วิธี การเข้าขอบไม้ ปฏิบัติได้ดังนี้คือ ไสข้างไม้ให้ได้ฉากทุกแผ่นที่จะนำมาชน แล้วนำมาทดสอบว่าชนกันสนิทหรือไม่ โดยทำเส้นกึ่งกลางที่ด้านข้างขอบไม้ เพื่อให้เป็นเส้นจุดศูนย์กลางที่จะทำเดือย และกำหนดตำแหน่งของตัวรูเดือยโดยทำเครื่องหมาย + กำกับ ไว้ เลือกดอกสว่านเจาะไม้ให้เหมาะสมกับความหนาของไม้ จากนั้นนำสว่านและดอกสว่านประกอบกัน แล้วเจาะรูที่ตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้ โดยกำหนดความลึกในการเจาะด้วย เมื่อเจาะรูเดือยเสร็จทุกแผ่นแล้ว ก็เริ่มทำเดือยให้มีขนาดเท่ากับรูเดือยที่เจาะไว้ ส่วนความยาวของเดือยให้สั้นกว่าความลึกรูเดือยเล็กน้อยประมาณ 1/4 นิ้ว ต่อจากนั้นนำไม้ที่มีเดือยกับรูที่เจาะไว้ประกอบกัน (ก่อนประกอบกันให้ทากาวลาเท็กซ์ที่เดือยและข้างไม้) อัดแน่นด้วยแคมป์ ดังรูปที่ 7.8
1.3 การเข้าบากร่อง (Dado joint) หรือ การเข้าบ่าไม้ เป็นการเข้าไม้วิธีหนึ่งที่ให้ความแข็งแรง การบากไม้แบบนี้นิยมกับงานทำลิ้นชัก ชั้นวางของ ตู้เก็บหนังสือ บันไดเป็นต้น ดัง
รูปที่ 7.9 ชิ้นงานที่เข้าบากร่อง
วิธีการเข้าบากร่อง ปฏิบัติได้ดังนี้คือ เลือกไม้ 2 ท่อน โดยให้ท่อนหนึ่งเป็นเดือย และอีกท่อนหนึ่งเป็นร่องเดือย นำไม้ที่เป็นตัวเดือยไปทำให้ได้ฉาก แล้วจึงเอาไม้ 2 ท่อนมาชนกัน ขีดเส้นกำหนดตำแหน่งที่จะบากไว้ที่ไม้และส้นความลึกที่ข้างไม้ทั้ง 2 ข้าง เมื่อได้เส้นตามที่ต้องการแล้วให้ใช้เลื่อยรอหรือสิ่วตัดไม้ส่วนที่ไม่ต้องการออก ปรับแต่งให้เรียบร้อยสม่ำเสมอ แล้วนำไม้ 2 ท่อน มาประกอบกันอีกครั้ง ตรวจสอบว่าได้ฉากหรือไม่ ถ้าได้ให้ถอดไม้ออกแล้วทากาวลาเท็กซ์ที่เดือย แล้วนำมาประกอบกันอีกครั้ง อัดแน่นด้วยแคลมป์แล้วควรตรวจสอบฉากอีกครั้งหนึ่งก่อนยึดตะปู ดังแสดงในรูปที่ 7.10
1.4 การเข้าบากอบ (Gross lap joint) ลักษณะการเข้าไม้จะแตกต่างกับการเข้าบากร่อง คือเมื่อนำไม้มาประกอบกันแล้ว จะเป็นรูปกากบาท (X) ดังรูปที่ 7.11 มีความแข็งแรงมากขึ้น นิยมใช้กับงานทั่วๆ ไป เช่น โครงสร้างงานเฟอร์นิเจอร์ ขาโต๊ะ โครงเก้าอี้ และอื่นๆ
วิธีการเข้าบากอม ปฏิบัติได้ดังนี้ คือ เลือกไม้ 2 ท่อน มาปรับฉากเสียก่อนตามขึ้นตอนที่เคยกล่าวไว้แล้ว จากนั้นเอาไม้ 2 ท่อนนี้มาประกอบกัน ลักษณะเป็นรูปกากบาท แล้วขีดเส้นไว้บนผิวไม้ทั้ง 2 ด้วยดินสอหรือมีดสั้น ส่วนความลึกให้ลึกครึ่งหนึ่งของความหนาไม้ ขีดเส้นกำหนดไว้ที่ข้างไม้ทั้ง 2 ข้าง เลื่อยตามเส้นที่ขีดไว้ทางด้านกว้างก่อน โดยความลึกให้เท่าที่ขีดไว้ และเลื่อยส่วนภายในของส่วนที่จะบากอีก 2-3 รอย แล้วใช้สิ่วตัดส่วนที่กากออก จนถึงรอยความลึกที่กำหนดไว้แต่งด้วยสิ่วให้เรียบสม่ำเสมอกันทั้ง 2 ท่อน ต่อจากนั้นนำมาประกอบกันให้แนบสนิท อย่าให้หลวมหรือคับเกินไป เมื่อประกอบดีแล้วให้ถอดออกและทากาวลาเท็กซ์ แล้วนำมาประกอบกันอีกครั้ง อัดแน่นด้วยแคลมป์ และตรวจสอบฉากให้ดีก่อนตอกตะปูยึดแน่น ดังรูปที่ 7.12
1.5 การเข้ามุมไม้ (Rabbet joint) เป็นการนำไม้ 2 ท่อนมากวางทับกัน โดยบากไม้ลึกประมาณ 1 ใน 4 ส่วนของความหนาไม้ แล้วยึดระหว่างมุมของไม้ 2 ท่อน การเข้ามุมไม้แบบนี้ใช้กับงานทำลิ้นชัก หรือตู้เก็บหนังสือ ดังรูปที่ 7.13
วิธีการเข้ามุมไม้ ปฏิบัติได้ดังนี้คือ ไม้ 2 ท่อนที่จะเข้ามุมไม้ต้องทำฉากหัวไม้ด้วย เพราะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด นำไม้ทั้ง 2 ท่อนมาขีดเส้น โดยไม้ที่จะเข้ามุมให้ขีดเส้นหนาเท่ากับไม้อีกท่อนหนึ่ง ความลึกให้ลึกประมาณ 1 ส่วนของความหนาไม้ เมื่อตรวจสอบฉากพร้อมกันไปด้วย นำไม้ 2 ท่อนที่จะประกอบกันไปทากาวลาเท็กซ์ อัดแน่นด้วยแคลมป์และตรวจสอบฉาก แล้วยึดด้วยตะปูอีกครั้ง ดังรูปที่ 7.14
1.6 การเข้าปากกบ (Miter joint) หรือการเข้ามุม 45 เป็นการเข้ามุมอีกวิธีหนึ่ง แต่ตรงหัวไม้ทั้ง 2 ท่อนจะตัด 45 เมื่อนำมาประกอบกันจะได้มุมฉาก (90) เป็น การเข้ามุมเพื่อปกปิดรอยตัดของหัวไม้ ความแข็งแรงอาจทำได้โดยใช่ลิ่มหรือลิ้นเสริมตรงรอยต่อ การเข้าปากกบนิยมใช้กับงานทำกรอบรูป หรือทำวงกบประตู และหน้าต่าง ดังรูปที่ 7.15
วิธีการทำปากกบไม้ ปฏิบัติได้ดังนี้คือ นำไม้ 2 ท่อนที่ได้ปรับฉากแล้ว มากำหนดความกว้างและความยาวตามที่ต้องการ แล้วขีดเส้นบนผิวไม้ไว้ ตรงหัวไม้ทั้งสองให้ตัดไม้เป็นมุม 45 ด้วยเครื่องตัด (Miter box) หรืออาจใช้ไม้ทำบล็อกก็ได้ แล้วตัดหัวไม้ตามที่กำหนดจนขาด นำไม้ที่ตัดทั้ง 2 ท่อนมาประกอบกัน ตรวจสอบฉากจนได้มุมฉาก และรอยต่อแนบสนิท นำไม้ 2 ท่อนมาทากาวลาเท็กซ์ แล้วประกอบกัน ตรวจสอบฉากจนแน่ใจแล้วอัดแน่นด้วยแคลมป์ และยึดด้วยตะปู ดังแสดงในรูปที่ 7.16
1.7 การเข้าเดือยไม้ (Mortise and tenon joint) นิยม ทำกันทั่วๆ ไป เป็นลักษณะเป็นการเข้าไม้ที่ไม้ท่อนหนึ่งมีแกนไม้ยื่นออกมา เรียกว่า ตัวเดือย และไม้อีกท่อนหนึ่งที่จะประกอบกันจะถูกเจาะเป็นรูขนาดเท่ากับตัวเดือย เรียกว่า รูเดือย เมื่อประกอบกันแล้วจะให้ความแข็งแรงมากงานที่นิยมใช้คืองานเฟอร์นิเจอร์ กรอบบานประตู หน้าต่าง โครงเก้าอีก โต๊ะ และนั่ง ดังรูปที่ 7.17
วิธีการทำเดือยไม้ ปฏิบัติได้ดังนี้คือ ทำไม้ให้ได้ฉากทั้ง 4 ด้านเสียก่อน แล้วเลือกไม้ท่อนหนึ่งสำหรับทำตัวเดือยและอีกท่อนหนึ่งทำรูเดือย ไม้ที่ทำตัวเดือยให้วัดขนาดตามแบบโดยใช้ฉากขีดที่หัวไม้ และกะความยาวของเดือย ใช้ขอขีดไม้ลากความหนาของตัวเดือยรอบด้านของไม้ ใช้เลื่อยรอตัดตามเส้นที่ขีดไว้ทั้งด้านหัวและด้านหน้าไม้จนขาด ก็จะได้ตัวเดือยที่ต้องการ ส่วนไม้ที่ทำรูปเดือย จะมีลักษณะคล้ายกันกับไม้ที่ทำตัวเดือย จนเมื่อใช้ขอขีดลากความหนาแล้ว นำไม้ไปยึดให้แน่นด้วยแคลมป์ ใช้ดอกสว่านหรือสิ่วเจาะไม้ลงไป (การเลือกขนาดของดอกสว่านหรือสิ่วควรให้เล็กกว่าตัวเดือยเล็กน้อย) เจาะไม้ให้เป็นรูปจนได้ความลึกตามต้องการ เมื่อได้ไม้ทั้ง 2 ท่อนเรียบร้อยแล้ว ให้นำมาประกอบเข้าด้วยด้วย ตรวจสอบว่าไม้ฉากหรือไม้ ถ้าได้แล้วให้ถอดออก เพื่อทากาวลาเล็กซ์ทีตัวเดือย จากนั้นนำมาประกอบกันเข้าอีกครั้ง แล้วอัดแน่นด้วยแคลมป์ ดังรูปที่ 7.18
รูปที่ 7.18 การเข้าไม้ด้วยการทำเดือย
การ เข้าเดือยไม้มีการเข้าเดือยอยู่หลายวิธี สามารถนำไปใช้ในการประกอบไม้ได้จนเป็นโครงงาน เช่น งานเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ โดยเฉพาะโครงสร้างของเฟอร์นิเจอร์ จะต้องอาศัยหลักการเข้าเดือยไม้เป็นส่วนใหญ่ ในที่นี้จะแนะนำรูปลักษณะการเข้าเดือยไม้ที่นิยมใช้ทั่วๆไป ดังรูปที่ 7.19
2. การ ต่อไม้ คือการนำไม้มาชนกันให้เกิดความยาวขึ้น ไม่ค่อยใช้มากนักกับงานคุรุภัณฑ์ การต่อไม้ อาจหมายถึง การทำให้ไม้หนาขึ้นก็ได้ โดยการนำไม้มาวางทับกันเข้า เหมือนการเสริมไม้ให้หนาขึ้นนั่นเอง หรืออาจหมายถึง การเอาไม้มาวางเรียงกันทางด้านข้างหลาย ๆ แผ่นแล้วอัดด้วยแม่แรงจนเป็นแผ่นเดียวกัน บางทีเรียกว่า การเพลาะไม้ ประโยชน์ที่ได้ของการต่อไม้คือเป็นการทำให้ไม้ยาวขึ้น กว้างขึ้น หรือหนาขึ้นนั่นเอง ดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น การต่อไม้ไม่ค่อยจะให้ความแข็งแรงกับโครงงาน นอกจากนี้การต่อไม้จะเห็นรอยต่อระหว่างไม่ได้ชัดเจน ความแตกต่างของการต่อไม้กับการเข้าไม้คือ การต่อไม้จะไม่ทำให้เกิดมุมขึ้น การต่อไม้สามารถทำได้หลายวิธี แล้วแต่จะเลือกใช้วิธีการใด
ข้อมูลจาก
www.st.ac.th/engin/wood.html
ข้อมูลจาก
www.st.ac.th/engin/wood.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น